ระยะเวลาปลอดภัย
2 posters
หน้า 1 จาก 1
ระยะเวลาปลอดภัย
เรียน อ.อานนท์ และคุณไผ่
ผมนายรัชพล สมาชิก P112-1 ขอสอบถามปัญหาครับ
โดยทั่วไปการใช้สารสมุนไพรไล่แมลงต่างๆ หรือพวกเชื้อชีวภัณฑ์ ทั้งของทางศูนย์ฯ หรือที่มีขายทั่วไป
หลังจากที่ใช้ฉีดพ่นเห็ดหรือผักต่างๆแล้ว ต้องรอกี่วันถึงเก็บทานได้ครับ
ตู้เขี่ยเชื้อแบบทำเอง ถ้าผมไม่มีหลอด uv สามารถใช้เครื่องทำโอโซน อบในตู้ได้หรือเปล่าครับ
ขอบคุณครับ
ผมนายรัชพล สมาชิก P112-1 ขอสอบถามปัญหาครับ
โดยทั่วไปการใช้สารสมุนไพรไล่แมลงต่างๆ หรือพวกเชื้อชีวภัณฑ์ ทั้งของทางศูนย์ฯ หรือที่มีขายทั่วไป
หลังจากที่ใช้ฉีดพ่นเห็ดหรือผักต่างๆแล้ว ต้องรอกี่วันถึงเก็บทานได้ครับ
ตู้เขี่ยเชื้อแบบทำเอง ถ้าผมไม่มีหลอด uv สามารถใช้เครื่องทำโอโซน อบในตู้ได้หรือเปล่าครับ
ขอบคุณครับ
tangthongkul- จำนวนข้อความ : 8
Join date : 23/08/2013
หากใช้สมุนไพรหรือสารสกัดอินทรีย์ฉีดเข้าไปในเห็ดหรือผัก ต้องรอกี่วันจึงจะปลอดภัยในการนำไปทาน
ในหลักการแล้ว สารธรรมชาติ ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อผู้บริโภคอยู่แล้ว เพราะเป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่ไม่มีสารที่เป็นอันตรายต่อคน เช่น สารสกัดจากสะเดา หรือจากการหมักข่า ตะไคร้ สาบเสือ ยาสูบ รวมทั้งน้ำส้มควันไม้ ซึ่งนิยมนำมาเป็นสารไล่หรือกำจัดแมลง ดังนั้น หลังจากใช้แล้ว ก็ไม่ต้องรออะไรอีกแล้ว เอาไปทานได้เลย แต่ปัจจุบัน ชักไม่แน่ใจเสียแล้ว เพราะมีสารที่บอกว่า เป็นสารสกะดจากพืชนั่นพืชนี่ ยกตัวอย่างที่บอกว่าจากสะเดา ที่เมล็ดมีราคาแพง หายาก ส่วนใหญ่ต้องสั่งเข้าจากอินเดียหรือพม่าในราคาแพงมาก หากนำเอาแต่เมล็ดสะเดามาสกัดแล้วขายในราคาถูกๆ คงเป็นไปไม่ได้แน่ๆ ทำให้มีการตรวจพบว่า สารไล่แมลงหรือฆ่าแมลงที่อ้างว่ามาจากการสกัดจากเมล็ดสะเดานั้น พอนำไปตรวจสอบจริงๆแล้ว มีหลายยี่ห้อ มีสารฆ่าแมลงเจือปนอยู่ ตรงนี้ต่างหากที่นับว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะหากเราใช้ไปอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยใช้สารอินทรีย์แต่ดันไปมีสารเคมีฆ่าแมลงผสมเข้าไปด้วยนั้น หากนำไปใช้ ควรต้องรอจนกระทั่งฤทธิ์ของยาหมดไป เช่น 10-15 วันหลังจากฉีดยา แต่หากเป็นฟังแบคคิว ของสถาบันอานนท์ไบโอเทค ที่ได้จากกรดอินทรีย์ เช่น น้ำส้มสายชู กรดแลคติด กรดมด ที่เกิดจากการหมักผลไม้นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นกรดที่เราทานได้อยู่แล้ว ดังนั้น หลังจากใช้ฟังแบคคิวแล้วสามารถเก็บเห็ดหรือผักไปทานได้เลย ในส่วนของสวนผักที่ทำการปลูกผักเพื่อการส่งออก ที่ใช้ฟังแบคคิวนั้น เขาก็เก็บผลผลิตเพื่อนำมาคัดแยกแล้วส่งออกได้เลย โดยไม่มีสาตกค้าง ที่ต่างประเทศเขาเข้มงวดนักหนา
ส่วนตู้เขี่ยเชื้อ หากไม่มีแสงยูวี จะอบด้วยโอโซนได้หรือไม่นั้น ต้องบอกว่า ดีกว่าเสียอีกด้วยซ้ำ เพราะโฮโซน มีอำนาจในการทะลุทะลวงในการฆ่าเชื้อได้ดีกว่า และไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ ส่วนแสงยูวีนั้น จะใช้ได้เฉพาะช่วงหนึ่งของคลื่นแสงเท่านั้น หากใช้นานกว่า 200 ชั่วโมง คลื่นแสงก็จะเปลี่ยน ประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อจะลดลง และเชื้อจะถูกฆ่า ก็ต่อเมื่อถูกแสงยูวีเท่านั้น ดังนั้น หากเชื้อที่ต้องการฆ่า ไม่ถูกแสงโดยตรง ก็จะไม่ถูกฆ่า
ส่วนตู้เขี่ยเชื้อ หากไม่มีแสงยูวี จะอบด้วยโอโซนได้หรือไม่นั้น ต้องบอกว่า ดีกว่าเสียอีกด้วยซ้ำ เพราะโฮโซน มีอำนาจในการทะลุทะลวงในการฆ่าเชื้อได้ดีกว่า และไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ ส่วนแสงยูวีนั้น จะใช้ได้เฉพาะช่วงหนึ่งของคลื่นแสงเท่านั้น หากใช้นานกว่า 200 ชั่วโมง คลื่นแสงก็จะเปลี่ยน ประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อจะลดลง และเชื้อจะถูกฆ่า ก็ต่อเมื่อถูกแสงยูวีเท่านั้น ดังนั้น หากเชื้อที่ต้องการฆ่า ไม่ถูกแสงโดยตรง ก็จะไม่ถูกฆ่า
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|