Anon Biotec web board
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

เรียนปรึกษาเรื่องรักษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม

Go down

เรียนปรึกษาเรื่องรักษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม Empty เรียนปรึกษาเรื่องรักษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม

ตั้งหัวข้อ  ??????? Tue Nov 30, 2010 1:40 pm

เรียน อาจารย์ อานนท์ ที่เคารพ
ดิฉัน ขอเรียนปรึกษา เรื่องการรับประทานเห็ดเป็นยา รักษาโรคมะเร็ง ด้วยนะคะ ผู้ป่วยคือ น้องสาวของดิฉันอายุ 43 ปี เป็นมะเร็งเต้านม ระยะลุกลาม (ลามไปถึงกระดูก) ขณะนี้ ทางแพทย์แผนปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างวางแผนการรักษา อาการของน้องสาว คือ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อย แต่ยังทนได้ ระหว่างรอการรักษาจากแพทย์แผนปัจจุบัน ก็รักษาสมุนไพร งดทานเนื้อสัตว์ เน้นผักสีเขียว ดื่มน้ำใบย่านาง + ใบเตย แทบทุกวัน สมุนไพรที่กินก็คือ พญาวานร (หว่านง็อก), เห็ดหลินจือ, วิตามินซี, อาหารเสริมผักสกัด, น้ำลูกยอเข้มข้น, คลอโรฟิลน้ำ ซื่ง น้องสาวจะตัดสินใจไม่ให้คีโม แต่อยากรักษาทางแพทย์ทางเลือก
จึงขอความอนุเคราะห์จากอาจารย์ ให้คำชี้แนะเกี่ยวกับเห็ดรักษาโรคของอาจารย์ และ การรับประทานอาหารของน้องสาว คือต้องกินอะไรที่แทนโปรตีน รวมทั้งอาหารที่แสลงต่อโรคนี้ด้วยนะคะ และถ้าหากรับประทานเห็ดเป็นยาของอาจารย์แล้ว สามารถกินอาหาร หรือยางอย่างอื่นไปพร้อม ๆ กันได้หรือไม่คะ รวมทั้งการปฏิบัติตนของผู้ป่วย ด้วยค่ะ ขออาจารย์ช่วยแนะนำด้วยนะคะ
ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

สุกัญญา

???????
ผู้มาเยือน


ขึ้นไปข้างบน Go down

เรียนปรึกษาเรื่องรักษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม Empty ขอประกาศให้ทราบอีกทีว่า ผมไม่ใช่หมอจริงครับ เพียงแต่ทำเห็ดที่มีคุณสมบัติเป็นยาส่งออกต่างประเทศเท่านั้น

ตั้งหัวข้อ  Anonmushroom Wed Dec 01, 2010 6:53 am

ผมต้องขอประกาศดังๆอีกครั้งว่า ผมไม่ใช่หมอ ไม่เคยเรียนมาทางนี้เลย เพียงแต่สนใจว่า ในเมื่อตัวเราขี้โรค ทั้งแพ้อากาศ ทั้งเป็นเบาหวาน และก็ไม่ได้เป็นคนดื้อดึง แหกโลกแหกสังคมอะไร ใครแนะนำให้ทำอย่างไรก็ทำไปหมด และที่หนีไม่พ้น พอผู้หวังดีให้ไปหาหมอ ผมก้เอาชีวิตของผมที่ผมเป็นเจ้าของนี่แหละ เอาไปให้หมอเขากำหนดชีวิตผม โดยท่านก็รักษาตามที่ท่านเรียนมา แต่ผมสิ มันรับไม่ได้ เพราะอาการของผม หมอบอกว่า มันจะต้องเป็นอย่างนี้ไปตลอดชีวิต พอรักษาไปนานๆ อายุก็จะสั้นลง เพราะผลของการใช้ยา ผมเลยจำเป็นต้องเห็นแก่ตัว ที่จะไม่ยอมให้ใครมากำหนดชะตากรรมอีกต่อไป เลยศึกษาหาวิธีการของตัวเอง เพื่อรักษาโรคของตัวเอง และก็ได้ผลเฉพาะตัวเอง ที่ไม่ต้องไปทนทุกข์ทรมาณในโรคที่หมอเขาบอกแล้วว่า มันรักษาไม่หาย แต่ผมก็ไม่เป็นมันอีกต่อไปในปัจจุบัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมก็ได้ศึกษาด้วยตัวเอง จากสิ่งที่ใกล้ตัวก่อน คือ เอาเรื่องเห็ดที่ผมทำมันมาตลอดชีวิต ที่ผมเคยเพาะเห้ด เคยสอนเรื่องเห็ด ให้คนทั้งบ้าน ทั้งเมืองเขาเพาะเห็ดกัน แต่พอสนใจเรื่องเห็ดเป็นยาเข้า ก็ได้ไปร่วมสัมมนาบ้าง ไปบรรยายบ้าง ไปเรียนมาบ้าง จึงเข้าใจพอสมควรว่า เห็ดที่เราเพาะได้แทบทุกชนิด และเห็ดที่ยังเพาะไม่ได้อีกจำนวนมาก เป็นพืชที่ประหลาดกว่าพืชทั่วๆไป กล่าวคือ มันเป็นพืชชั้นต่ำ ที่มันไม่สามารถสังเคราะห์แสง หรือสร้างอาหารเองได้ มันจึงอาศัยน้ำย่อยหรือเอ็นไซม์ของมัน ที่มันหลั่งออกมา(Extracellular enzymes)ย่อยอาหารจากเศษซากพืช เพื่อนำเอาทั้งพลังงานและอาหารอื่นๆจากพืชที่ตายแล้ว เอาไปเป็นอาหารให้แก่ตัวมันเอง แล้วคุณลองสังเกตในตัวเห็ดสิ มันเจริญรวดเร็วมาก ก็เพราะตัวมันเอง มันมีเอ็นไซม์ที่มีประสิทธิภาพในการย่อยอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกคาร์โบไฮเดรต เอามาเป็นพลังงานในการดำรงชีวิตของมัน แต่มันจะไม่เก็บสะสมพลังงานไว้เหมือนพืชชนิดอื่น ยกเว้น มีน้ำตาลบางอย่าง ที่มันย่อยไม่ได้ หรือย่อยยาก มันอาจจะเก็บไว้บาง เช่น สารประกอบของน้ำตาลเพ็นโต(Polysaccharide of pentoses) ดึงนั้น อาจจะสรุปได้ว่า เห็ดเป็นพืชที่แทบจะไม่มีสารอาหารที่เป็นพลังงาน เช่น ไม่มีแป้ง น้ำตาลและไขมันเลย ขณะเดียวกัน การที่เห็ดเจริญเติบโตเร็วมาก ก็เพราะตัวมันเอง มันจะดึงเอาธาตุไนโตรเจนจากซากพืชเข้ามาใช้ในขบวนการสร้างชีวิตของมัน เห็ดอะไรก็แล้วแต่ที่มันโตเร็วกว่า เห็ดชนิดอื่น เห็ดชนิดนั้น ย่อมมีโปรตีนในตัวของมันสูงกว่าเช่นกัน ดังนั้น คำถามของคุณที่ว่า จะให้ผู้ป่วยทานอาหารที่เป็นโปรตีนได้จากที่ไหน ก็ขอตอบว่า จากเห็ดสิ ทีนี้มาเข้าประเด็นถึงคำถามเรื่องของมะเร็งเต้านม ของน้องสาวของคุณเสียก่อนว่า ทำไมน้องสาวคุณเป็นมะเร็ง เหตุที่แกเป็น ก็เพราะเซลมะเร็ง ที่ทุกคน ทุกชีวิตมีอยู่แล้วในร่างกาย เพียงแต่น้องสาวคุณอาจจะโชคร้ายกว่าคนอื่นเขาไปนิดหนึ่งตรงที่เซลมะเร็งที่มันหลบซ่อนคู่กับชีวิตคนนั้น เกิดมีความพิศดาร เจริญเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วกว่าเซลปกติธรรมดา ก็เท่านั้นเอง แต่การที่มีเซลมะเร็งเจริญขึ้นมาเร็วกว่าเซลปกติ มันจึงฟาดหัวฟาดหาง ไปแย่งอาหารจากเซลธรรมดาเอามาบำรุงบำเรอตัวมันเอง ขณะเดียวกันมันก็จะสร้างสารพิษเข้าไปทำลายเซลธรรมดาในส่วนต่างๆของร่างกาย วิธีการแย่งอาหารของเซลมะเร็งนั้น มันกะล่อนมาก มันหาทางที่จะส่งระหัสลับของมันไปยังเส้นเลือด ที่ปกติเส้นเลือดจะส่งอาหารไปยังส่วนต่างๆของร่างกายตามปกติ ผ่านทางเส้นเลือดฝอย ดังนั้น ร่างกายจะไม่มีการสร้างเส้นโลหิตฝอยเพิ่มขึ้นมาอีกโดยไม่จำเป็น ยกเว้น บางส่วนของร่างกายผิดปกติ เช่น โดนมีดบาด หรือเกิดแผลขึ้น ก็จะมีการสร้างเส้นเลือดฝอยขึ้นมาทดแทนเฉพาะการเท่านั้น แต่เจ้าเซลมะเร็งที่มันกะล่อนนี้แหละ มันจะส่งสัญญานไปยังเส้นเลือด เพื่อหลอกให้เส้นเลือดสร้างเส้นเลือดฝอยไปยังกลุ่มเซลของมัน เมื่อไหร่มันหลอกเส้นเลือดให้สร้างเส้นเลือดฝอยได้สำเร็จ นั่นแหละครับ ที่จะทำให้เซลมะเร็งมันเจริญเติบโต ลุกลามได้อย่างรวดเร็ว และอะไรที่เป็นตัวเร่งให้เส้นเลือดสร้างเส้นเลือดฝอยไปยังเซลมะเร็ง ก็พวกอาหารที่เราทานเข้าไปนี้แหละ ที่เต็มไปด้วยยาฆ่าแมลง สารก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ อาหารที่มีการกระตุ้นต่างๆ เช่น ผงชูรส อาหารที่ถูกปรุงสุกด้วยเตาไมโครเวฟ อะไรพวกนี้ นอกจากนี้ หากเซลมะเร็งได้รับอาหารด้วยการหลอกให้เส้นเลือดสร้างเส้นเลือดฝอยสำเร็จ ในช่วงที่เซลมะเร็งมันเจริญเติบโต มันต้องการโปรตีนสูงมาก ดังนั้น จะเห็นว่า ใครก็ตามที่เป็นมะเร็ง คนนั้น จะมีปัญหาขาดโปรตีนในเส้นเลือด โดยเฉพาะโปรตีนไข่ขาว(Albumins) แล้วเจ้าโปรตีนไข่ขาวนี้เอง ที่ในการตรวจวัดเลือดเขาเอาตัวนี้เป็นเครื่องวัด แน่นอน เมื่อผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง หมอก็มักจะตรวจพบว่า ผู้ป่วยขาดโปรตีนไข่ขาว ก็จะแนะนำให้ผู้ป่วยกินโปรตีนเข้าไปเยอะๆ เช่น โปรตีนจากสัตว์ จากไข่ จากปลา โดยเฉพาะ จากปลา เป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ผู้ป่วยมักจะถูกแนะนำให้ทานปลาเยอะๆ โดยหารู้ไม่ว่า เซลมะเร็งที่มันเจริญได้เร็วกว่า เซลปกติอยู่แล้ว ยิ่งหากมันไปเจอโปรตีนที่ย่อยง่ายเข้า มันยิ่งชอบ มันยิ่งเจริญได้ดีกว่าเซลธรรมดาเสียอีก จึงจะพบเสมอว่า ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง ที่ทานอาหารธรรมดาไปเรื่อยๆ ก็จะอยู่กับโรคมะเร็งไปอย่างไม่ค่อยจะมีปัญหาเท่าไหร่ แต่เมื่อไหร่ได้รับแรงกระตุ้นว่า ให้ทานโปรตีนเยอะๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากปลา ปรากฎว่า ผู้ป่วยจะเกิดอาการบวม ท้องมาน และเซลมะเร็งกำเริบ แล้วก็ตายแบบไม่ได้สั่งเสียเยอะมาก ดังนั้น การที่ญาติของคุณตัดสินใจทานอาหารพวกผัก งดเนื้อสัตว์นั้น จากประสบการณ์ของผมที่ไม่ใช่หมอ ผมว่า เขาเลือกทำในสิ่งที่ถูกแล้วสำหรับชีวิตเขา แล้วแนะนำให้เขาทานเห็ดหลายๆอย่างครับ เพราะเห็ดนั้น มันมีโปรตีนที่เซลมะเร็งไม่ชอบ และสารโพลี่แซคคาไรด์ของน้ำตาลเพ็นโตส และสารเป็นยาในเห็ด มันจะไปตรึงกำลังที่ผนังของเส้นเลือด เพื่อป้องกันไม่ให้เส้นเลือดถูกเซลมะเร็งหลอกให้สร้างเส้นเลือดฝอย(Anti-angiogenesis) ก็จะทำให้เซลมะเร็งขาดอาหาร มันก็จะไม่ลุกลามต่อ นอกจากนี้ เห็ดบางชนิด จะไปเร่งให้เซลมะเร็งฝ่อตาย(Apotosis)เร็วยิ่งขึ้นครับ ส่วนคำถามที่ถามว่า หากทานเห็ดเป็นยาของผมไปนั้น จะทานไปพร้อมกับอาหารอย่างอื่นได้หรือไม่ ขอตอบเลยน๊ะครับว่าได้ครับ เพราะเห็ดที่ผมเอามาทำเป็นยา เพื่อส่งออกนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเห็ดที่ทานได้เช่นเดียวกับผัก สามารถทานได้เฉกเช่นผักครับ เพียงแต่ว่า หากทานเป็นยา ควรทานก่อนทานอาหารสักครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเองครับ
ดังที่ผมได้เรียนให้ทราบว่า ผมเองไม่ใช่หมอ ผมเองยังไม่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการอาหารและยา หรือที่เรียกว่า อย. ในการผลิตยา ดังนั้น สิ่งที่ผมทำทุกวันนี้คือ ผลิตเห็ดที่เขาใช้เป็นยา ในลักษณะที่เป็นวัตถุดิบเท่านั้น แล้วส่งไปให้เขาเอาวัตถุดิบของผมไปผสมกันในต่างประเทศ ทั้งประเทศแดนไกล และประเทศที่อยู่ชายแดนติดกับเรา แล้วเขาก็เอาไปใส่ยี่ห้อเขา ส่งกลับมาขายให้เราในนามยี่ห้อคนอื่นครับ แต่ตอนนี้พอมีหวังขึ้นมาแล้วครับ เพราะปัจจุบัน ทางการเขามีการผลิตแพทย์ทางเลือก ที่มีใบประกอบโรคศิลป์จากหน่วยงานของรัฐ กำลังจะมาเปิดคลีนิค หรือโรงพยาบาลแพทย์ทางเลือก ให้ถูกต้องตามกฎหมายในเร็วๆนี้ครับ ที่อุทยานเห็ดอานนท์เวิลด์ และที่อานนท์ไบโอเทค คงไม่นานเกินรอครับ เราก็คงจะมีโอกาสเลือกทางรักษาตามแนวของเราบ้าง ขอให้กรุณาติดตามต่อไป
Anonmushroom
Anonmushroom

จำนวนข้อความ : 352
Join date : 05/07/2010

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน


 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ