Anon Biotec web board
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

บทความเรื่องของต้นเบาบับต้นไม้ปฎิวัติอาหารโลก ในหนังสือพิมพ์มติชน ปี 2552

Go down

บทความเรื่องของต้นเบาบับต้นไม้ปฎิวัติอาหารโลก ในหนังสือพิมพ์มติชน ปี 2552 Empty บทความเรื่องของต้นเบาบับต้นไม้ปฎิวัติอาหารโลก ในหนังสือพิมพ์มติชน ปี 2552

ตั้งหัวข้อ  Pai_Anonworld Mon Mar 28, 2011 4:54 pm

Baobab ต้นไม้ปฏิวัติอาหารโลก?

โดย วรากรณ์ สามโกเศศ มติชนรายวัน วันที่ 04 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11408

ต้นไม้ใหญ่หน้าตาประหลาดมีชื่อว่า Baobab ซึ่งดูราวกับธรรมชาติทำงานผิดพลาดโดยเอารากกลับขึ้นมาอยู่บนดิน ส่วนลำต้นและใบทิ่มอยู่ใต้ดิน กำลังเป็นต้นไม้ดังทั่วโลก เพราะความมีประโยชน์ในเกือบทุกส่วนของมัน

Baobab เป็นชื่อตลาดที่รู้จักกันมากที่สุด ชื่อพันธุ์ (Genus) ของมันคือ Adansonia มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 8 species แหล่งดั้งเดิมของ 6 species อยู่ใน Madagascar (เกาะใหญ่อยู่ทางตะวันออกของทวีปแอฟริกา) และอยู่บนแผ่นดินใหญ่ของแอฟริกาและออสเตรเลีย (ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีป) อีกแห่งละหนึ่ง species

Baobab เป็นต้นไม้มหัศจรรย์โดยแท้มันสูงได้ถึง 5-30 เมตร ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 7-11 เมตร (ในจังหวัด Limpopo ประเทศ South Africa ต้นที่เชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 15 เมตร) เชื่อว่ามีอายุอยู่ได้นับพันปี

แต่ที่อัศจรรย์กว่านั้นก็คือทุกส่วนของมันไม่ว่าเปลือก ใบ เนื้อไม้ ผล มีคุณประโยชน์มาก จนผู้รักสุขภาพในโลกตะวันตกกำลังบ้าคลั่งนับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา สารพัดสินค้าที่ใช้วัตถุดิบจาก Baobab หลั่งไหลเข้าสู่ตลาด และเชื่อว่าอีกไม่นานนักคลื่น Baobab ก็คงจะมาถึงบ้านเรา คล้ายกับ "คลื่นน้ำลูกยอ" "คลื่นชาเขียว" ฯลฯ ที่ผ่านมา

ใครที่เคยดูภาพยนตร์เรื่อง The Lion King คงจำภาพต้นไม้ประหลาดนี้ได้ที่ตัวละครชื่อ Rafiki ใช้เป็นบ้าน และในหนังสือคลาสสิคแปลจากภาษาฝรั่งเศสที่เข้าใจว่าปัจจุบันนักศึกษาในหลายมหาวิทยาลัยไทยถูกบังคับให้อ่านคือ "Little Prince" (Le Petit Prince) โดย Antoine de Saint-Exup?ry กล่าวถึงต้น Baobab ว่าโลกที่ Little Prince อาศัยอยู่นั้นเล็กเกินกว่าที่จะให้ต้น Baobab อยู่

Baobab ไม่ได้ไร้ใบตลอดเวลาจนดูประหลาดเหมือนในภาพ สำหรับ Baobab สายพันธุ์ Adansonia digitata ในแอฟริกาไร้ใบประมาณ 9 เดือน ใน 1 ปี ในช่วงฤดูฝนมันจะดูดซับน้ำได้สูงถึง 120,000 ลิตร มาเก็บไว้ในลำต้นสู้กับความแห้งแล้งเพื่อมันจะสามารถอยู่รอดได้คงทน และมีอายุอยู่ได้นานกว่าต้นไม้อื่นๆ

คนแอฟริการู้จักประโยชน์ของต้น Baobab มานับพันปีก่อนที่คนตะวันตกจะมาตื่นเต้น คนแอฟริกาใช้ใบของมันที่มีลักษณะเป็นช่อใบเรียวมน 5 ใบ เป็นอาหารโดยบริโภคกันทั้งดิบ เป็นใบแห้งหรือเป็นผง

ในไนจีเรียใช้ใบ Baobab มาทำเป็นซุป ผลของมันยาวประมาณ 18 เซนติเมตร แต่ละลูกห้อยยาวลงมา ดูไกลๆ เหมือนหนูตายห้อยหัว (จึงมีชื่อเรียกว่า Dead-rat Tree ด้วย) ผลมีเปลือกแข็งหุ้ม ภายในเป็นเมล็ดๆ มีเนื้อขาวหุ้มคล้ายน้อยหน่า และมีเนื้อสีขาวเป็นปุยอยู่ด้วย

ส่วนที่เป็นปุยสีขาวนี้คนแอฟริกันเรียกว่าขนมปังลิง (monkey"s bread) เขาเอาไปผสมนม หรือข้าวต้ม ข้าวโพดต้มเละเป็นอาหาร บ้างก็เอาน้ำเชื่อมสีแดงราดลงบนเนื้อและนำมาขายเป็นขนม ส่วนที่เป็นเมล็ดก็เอามาตำเพื่อทำให้ซุปข้นขึ้น หรือเอามาคั่วเพื่อกินเล่น หรือบีบเอาน้ำมัน ลำต้นซึ่งชุ่มฉ่ำด้วยน้ำถูกกรีดมาใช้เป็นเชือก สีย้อมผ้า ตลอดจนเป็นยาพื้นบ้าน

หลายปีที่ผ่านมามีงานวิจัยเกี่ยวกับประโยชน์ของ Baobab มากพอควร พบว่าผลของมันนั้นในน้ำหนักเท่ากันมีวิตามินซีมากกว่าส้มถึง 6 เท่า อุดมด้วย Antioxidants (สารป้องกันโรคมะเร็ง) Potassium/ Phosphorus เหล็ก โซเดียม แมงกานิส Zinc แม็กนีเซียม และสารพัดวิตามินไม่ว่าจะเป็น B1/ B2/ B6 Niacine ฯลฯ อย่างไม่น่าเชื่อ

งานวิจัยยืนยันความเชื่อของคนพื้นเมืองแอฟริกาว่าเปลือกของลำต้นสามารถลดการอักเสบ แก้โรคท้องเสีย (โดยเฉพาะผล Baobab) การสูญเสียน้ำ ฯลฯ ได้เป็นอย่างดี

การศึกษาพบว่าผล Baobab มีเส้นใย (fibre) ซึ่งช่วยกระตุ้นการเติบโตของแบคทีเรียในลำไส้ซึ่งช่วยในการย่อยอาหาร กระตุ้นภูมิต้านทาน ป้องกันโรคท้องเสีย ฯลฯ

ความจริงที่พบนี้ทำให้เกิดการผลิตผงแป้งจากเส้นใยของผล Baobab ในโรคตะวันตก มีการสกัดน้ำมันจากเมล็ด จากใบ จากลำต้น มาใช้ในการผสมน้ำผลไม้ นม นมเปรี้ยว บิสกิต ขนมเค้ก เครื่องดื่ม ซีเรียลสำหรับอาหารเช้า energy bars ช็อกโกแลต ไอศครีม ฯลฯ โดยอ้างสารพัดสรรพคุณ

อย่างไรก็ดี ทางการ EU และสหรัฐอเมริกายังมิได้อนุมัติการนำเข้าผล Baobab (เมื่อกลางปี 2008 EU ได้อนุมัติการนำเข้าเนื้อแห้งของผล) อีกไม่นานทั้ง EU และสหรัฐอเมริกาก็คงจะอนุมัติ และต่อไปคนยุโรปและอเมริกันก็คงจะได้บริโภคผล Baobab สดๆ กัน

Baobab เป็นต้นไม้ขึ้นตามธรรมชาติ ยังไม่เคยมีการปลูกกันเป็นสวนหรือเป็นไร่ เมื่อ Baobab เป็นที่นิยมมากขึ้น การปลูกเป็นสวนคงจะเกิดขึ้น ปัจจุบันไม่ทราบว่ามีการปลูก Baobab กันหรือไม่ในประเทศไทย แต่เชื่อได้ว่าในเวลาอีกไม่นาน คงจะเกิด "คลื่น Baobab" เหมือน "คลื่นต้นสัก, คลื่นกฤษณา, คลื่นตะกูยักษ์" ฯลฯ ที่เคยเกิดขึ้นในบ้านเรา

การไร้การควบคุมการนำเข้าต้นไม้ของทางการบ้านเรา ทำให้เกิดความกังวลว่าหาก Baobab เกิดติดอันดับมีการปลูกเป็นสวนเหมือนยูคาลิปตัส น้ำซึ่งเป็นทรัพยากรที่ขาดแคลนอยู่แล้วจะยิ่งหนักหนายิ่งขึ้นในบ้านเราในอนาคต เพราะ Baobab น่าจะเป็น "ตัวดูดน้ำ" ที่ร้ายกาจ แย่งชิงน้ำมาสะสมไว้ในลำต้น ได้เก่งกว่าต้นไม้อีกหลายพันธุ์

ถึงแม้ Baobab ให้คุณค่าแก่ชาวโลกในด้านโภชนาการ แต่ก็อาจสร้างต้นทุนมหาศาลได้เช่นกัน หากชาวโลกมีความต้องการผลิตภัณฑ์มากขึ้นจนต้องเกิดการปลูกเป็นสวนเป็นไร่ เข้าทำนอง "โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี" กล่าวคือชาวโลกต้อง "จ่าย" สำหรับผลิตภัณฑ์ด้วยการขาดน้ำสำหรับพืชอื่น

ในหนังสือ Little Prince ถึงแม้ว่าโลกจะไม่มีที่เพียงพอสำหรับ Baobab แต่ Little Prince ก็แนะนำว่าการดูแลโลกเป็นงานที่หนักและเหนื่อย แต่ก็เป็นงานที่ง่ายหากจัดการได้ดี

คำถามเชิง proactive (คือคิดป้องกันก่อนเกิดปัญหา) ก็คือหาก Baobab กลายเป็นต้นไม้สำคัญขึ้นมาจนมีคนปรารถนาปลูกกันมากมายในบ้านเรา เราจะเตรียมรับมือกับปรากฏการณ์นี้อย่างไร
Pai_Anonworld
Pai_Anonworld

จำนวนข้อความ : 1316
Join date : 29/11/2010
Age : 41

http://www.anonworld.com

ขึ้นไปข้างบน Go down

บทความเรื่องของต้นเบาบับต้นไม้ปฎิวัติอาหารโลก ในหนังสือพิมพ์มติชน ปี 2552 Empty มีการปลูกต้นเบาบับที่ประเทศไทยขนาดใหญ่แล้ว อยู่ที่อานนท์ไบโอเทคไง

ตั้งหัวข้อ  Pai_Anonworld Mon Mar 28, 2011 6:39 pm

วันนี้เปิดดอกเรื่องของเบาบับตามกลูเกิล ก็พบบทความที่เอามาลงให้ดู เป็นบทความที่เขียนลงหนังสือพิมพ์มติชน เมื่อปี 2552 โน่น แต่ก็น่าสนใจ เพราะผู้เขียนน่าจะได้รับข้อมูลมาจากสื่ออื่นๆอีกทอดหนึ่ง โดยไม่มั่นใจว่าเคยเห็น เคยสัมผัสต้นเบาบับมาก่อนหรือไม่ แต่แน่นอน ด้วยความที่ต้นเบาบับมีความมหัศจรรย์มากมายหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทุกส่วนของต้นเบาบับล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ทางยา ที่สำคัญแก่มนุษย์ ทั้งใบ ดอก ผล ลำต้น ราก ล้วนแล้วแต่มีคุณสรรพคุณทางยาสูงมาก ประกอบกับเป็นพืชที่สามารถปลูกได้ง่าย ในทุกสภาพของดินและอากาศที่ร้อน แม้กระทั่งพื้นที่ที่เป็นทะเลทราย เป็นพืชที่คนแอฟริกาส่วนใหญ่ผูกพันมาก ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้าน หรือบ้านที่จะปลูกใหม่ หรือการที่จะย้ายหมู่บ้านไปตั้งที่ใหม่ ก็ล้วนแล้วแต่ต้องเลือกสถานที่ที่ใกล้กับแหล่งที่มีต้นเบาบับทั้งสิ้น ต้นเบาบับ เป็นต้นไม้ตระกูลไม้งิ้วหรือไม้นุ่น เพียงแต่ต่างจากไม้งิ้วหรือไม้นุ่นคือ สามารถเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีขนาดใหญ่มาก จนมีการบันทึกกันว่า เป็นต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และอายุยืนที่สุดในโลกด้วย และเป็นต้นไม้ที่มีความสามารถเก็บน้ำไว้ในลำต้นได้เป็นจำนวนมาก บางต้นจะสามารถเก็บน้ำได้นับแสนลิตร ด้วยเหตุนี้เอง จึงมีผู้รู้ นักวิชาการหลายฝักหลายฝ่าย(ที่รู้ไม่จริง) ต่างออกมาวิพากย์วิจารณาในเชิงวิตกจริต เกรงว่า หากนำมาปลูกในประเทศไทยแล้ว ต้นนี้ จะดูดเอาน้ำไปเก็บไว้ในต้นเสียหมด ซึ่งมันไม่ได้เป็นดังนั้นเลย ในทางตรงกันข้าม เบาบับ เป็นต้นไม้ที่มีรากราบไปกับพื้นผิวดิน มันจะดูดซึมเอาน้ำเข้าไปเก็บเป้นจำนวนมาก ก็ต่อเมื่อดินมีความชื้นสูงในฤดูฝนเท่านั้น ในฤดูแล้ง หรือในช่วงที่ไม่มีฝนตก มันจะรีบสลัดใบทิ้งทันที เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำระเหยออกไปจากต้นมากเกินไป ในพื้นที่ที่เป็นทะเลทราย มันจะมีใบเฉพาะฤดูฝนเพียง 3-4 เดือนเท่านั้น พอฝนไม่ตก มันก็ยังคงชีวิตอยู่ได้ด้วยน้ำที่มันเก็บไว้ และก็เพราะต้นเบาบับนี่เอง กลับกลายเป็นต้นไม้ที่เก็บเอาความชื้น หรือน้ำบริการให้แก่สรรพสิ่งต่างๆที่ต้องการความชื้นในช่วงฤดูแล้ง รวมทั้งคนด้วย ดังนั้น ต้นเบาบับ จึงเป็นต้นไม้ที่ทรงคุณค่าที่สุด ของผู้คนที่อยู่ในพื้นที่แห้งแล้ง หรือทะเลทราย โดยมนุษย์จะเอาต้นหรือกิ่งของเบาบับมาบีบเอาน้ำมาใช้ดื่มและยังมีสรรพคุณทางยาอีกมากมายหลายอย่าง ด้วยยความผูกพันต้นเบาบับเป็นพิเศษของ ดร.อานนท์ ที่ใช้เวลาเกือบ 20 ปี ไปปฎิบัติงานเป็นผู้เชี่ยวชาญเห้ด ให้แก่องค์การค้าโลก แห่งสหประชาชาติที่ทวีปแอฟริกา ดร.อานนท์ จึงถือว่า เป็นผู้บุกเบิก นำเอาเมล็ดพันธุ์เบาบับสายพันธุ์ต่างๆจากทุกส่วนของทวีปแอฟริกา และเลือกเอาสายพันธุ์ที่ออกดอกออกผลเร็ว มีสารป้องกันอนุมูลอิสระสูง มาทดลองทำการปลูกในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา จนกระทั่งมั่นใจว่า มันสามารถปลูกได้เป้นอย่างดีในประเทศไทย และไม่ได้เป็นต้นไม้ร้ายดั่งที่มีนักวิชาการบางคนบางท่านห่วงใย ขณะนี้ ดร.อานนท์ได้ขยายพื้นที่ปลูกเบาบับไปยังสวนที่พุแค และที่อุทยานเห็ดอานนท์เวิลด์ อ.โคกสำโรง บนพื้นที่มากกว่า 100 ไร่ โดยมีเป้าหมาย ที่จะเป็นแหล่งปลูกเบาบับเป็นธุรกิจการค้าแห่งแรกของไทยหรือของโลก เพื่อจะนำเอาใบ เนื้อผลและเมล็ดมาทำการแปรรูปเป็นยาหรือเป็นอาหารบำรุงร่างกายของมนุษย์ต่อปี
สำหรับปีนี้ ถือว่า เป็นข่าวดีที่สุด ที่ทางอานนท์ไบโอเทค เริ่มทำการผลิตและแปรรูปใบเบาบับ ที่ผ่านขบวนการทำแห้งด้วยอุณหภูมิต่ำ โดยเริ่มทำการจำหน่ายให้บุคคลใกล้ชิด เพื่อใช้บริโภคเป็นอาหารป้องกันอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยม ที่ดีกว่าใบมะรุมหลายเท่า เหมาะสำหรับท่านที่ไม่อยากเป็นมะเร็ง หรือเป็นมะเร็งอยู฿่แล้ว และต้องการลดระดับความรุนแรงของเซลมะเร็งลง บำรุงร่างกาย บำรุงสมอง เจริญอาหาร มีสารเมือกที่มีประโยชน์เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคกระเพาะ โรคเกี่ยวกับลำไส้ ริดสีดวงทวาร ลดเบาหวาน และลดความดันได้ดีเยี่ยม สมาชิกท่านใดสนใจ สามารถติดต่อขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 029083308, 0860830202 หรือ 025797759,025799200 และ 0858270085
Pai_Anonworld
Pai_Anonworld

จำนวนข้อความ : 1316
Join date : 29/11/2010
Age : 41

http://www.anonworld.com

ขึ้นไปข้างบน Go down

บทความเรื่องของต้นเบาบับต้นไม้ปฎิวัติอาหารโลก ในหนังสือพิมพ์มติชน ปี 2552 Empty นี่ก็เป็นตัวอย่างอีกบทความหนึ่ง

ตั้งหัวข้อ  Pai_Anonworld Mon Mar 28, 2011 6:50 pm

Baobab ผลไม้ที่มาจากต้นไม้มหัศจรรย์ อาจจะมาแรงแซงทางโค้งมากที่สุดในปี 2009
อีกไม่นานนักพวกเราอาจได้ยินชื่อ Baobab กันหนาหูขึ้น คล้ายกับเรื่อง "น้ำลูกยอ" "น้ำชาเขียว" ฯลฯ ที่ผ่านมา

เมื่อปลายปีที่แล้ว (2008) เคยอ่านพบว่า Mintel ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำ market research สัญชาติอังกฤษที่มีชื่อเสียง ได้เคยทำนายไว่ว่า ผลไม้จากต้น baobab (ออกเสียงว่า bay-oh-bab) จะเป็น hot new superfruit ชนิดหนึ่งแน่นอน ในปี 2009
รวมทั้งสื่อต่างๆในคอลัมน์ อาหารและสุขภาพ ก็ออกข่าวถึงผลไม้มหัศจรย์นี้กันอย่างมากมา ตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา สารพัดสินค้าที่ใช้วัตถุดิบจาก Baobab หลั่งไหลกันเข้าสู่ตลาด และเชื่อว่าอีกไม่นานนักพวกเราอาจได้ยินชื่อ Baobab กันหนาหูขึ้น คล้ายกับเรื่อง "น้ำลูกยอ" "น้ำชาเขียว" ฯลฯ ที่ผ่านมา
เลยจะขอนำมาเล่าสู่กันฟัง เพราะเป็นต้นไม้และผลไม้ที่แปลกสำหรับพวกเราส่วนใหญ่อยู่....ส่วน ตัวแล้ว เห็นว่า แปลกจริงๆ เป็นต้นไม้ที่ทั้งแปลกและเก่าแก่ที่สุดในโลก แปลกทั้งรูปร่างและทั้งชื่อ ที่เป็นภาษาอัฟริกันพื้นเมืองเก่าแก่โบราณ

ต้นไม้ใหญ่ชนิดนี้ หน้าตาประหลาด ชื่อว่า Baobab ซึ่งดูคล้ายๆว่า รากจะกลับขึ้นมาอยู่บนดิน ส่วนลำต้นและใบกลับทิ่มอยู่ใต้ดิน กำลังเป็นต้นไม้ดังทั่วโลก เพราะความมีประโยชน์ในเกือบทุกส่วนของมัน



Baobab พันธุ์(Genus)ที่รู้จักกันมากที่สุด คือ Adansonia Digitata มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 8 species แหล่งเดิมของทั้ง 6 species อยู่ใน Madagascar (เกาะใหญ่อยู่ทางตะวันออกของทวีปแอฟริกา) และอยู่บนแผ่นดินใหญ่ของแอฟริกาและออสเตรเลีย (ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีป) อีกแห่งละหนึ่ง species

Baobab เป็นต้นไม้มหัศจรรย์อย่างแท้จริง เพราะต้นไม้นี้จะสูงได้ถึง 5-30 เมตร ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 7-11 เมตร (ในจังหวัด Limpopo ที่ South Africa ต้นBaobab เป็นต้นไม้ที่เชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 15 เมตร) เชื่อว่ามีอายุอยู่ได้นับพันปี เป็นต้นไม้ที่ไม่ค่อยมีแมลงมารบกวน มีรากชอนไชลงไปลึกมากใต้ดิน ชอบแสงแดดจัด ขึ้นได้ดีในดินปนทราย และขึ้นเป็นต้นเดี่ยวๆ ไม่อยู่เป็นกลุ่มก้อน เป็็นต้นไม้ที่มีอายุยืนนานที่สุดชนิดหนึ่งในโลก



ผลของต้นไม้นี้ มีขนาดใหญ่่ ยาวประมาณ 10-26 ซ.ม. จนได้ชื่อว่า king of the superfruit
เมื่อเดือนกรกฏาคม ปี 2008 ทาง EU ได้ตกลงอนุญาตให้นำเข้าเนื้อแห้งของผลไม้นี้ ในการทำ smoothies และใช้เป็นอาหารใน cereal barsได้ ต่อไปทางสหรัฐอเมริกาก็คงจะอนุมัติเช่นกัน และต่อไปคนยุโรปและอเมริกันก็คงจะได้บริโภคผล Baobab สดๆต่อไป
มี ผู้คน ไปทดลองชิมกันมาก และเมื่อสื่อต่างๆไปสอบถาม คนส่วนใหญ่บอกว่า เมื่อดูภายนอกผลไม้นี้ ดูคล้ายๆกับลูกมะพร้าวที่ยังอ่อนอยู่ ข้างในมีเนื้ออ่อนนุ่ม แต่รสชาติเมื่อเอามาผสมกับน้ำ ทำเป็นเครื่องดื่มแล้ว ไม่ค่อยมีรสเท่าใด แต่ถ้าเอาเนื้อในมาทำแยมแล้ว อร่อยใช้ได้ สีคล้ายๆน้ำผึ้งที่มีสีเข้ม รสชาติคล้ายๆผิวส้ม แต่เนื้อแยมออกทางลูกแพร์



แต่ถ้าดูถึง ประโยชน์แล้ว มีงานวิจัยเกี่ยวกับประโยชน์ของ Baobab มากพอควร พบว่าผลของมันนั้นในน้ำหนักเท่ากับผลไม้อื่น มีวิตามินซีมากกว่าส้มถึง 6 เท่า มีสารAntioxidants (สารป้องกันโรคมะเร็ง) มีโปตัสเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก โซเดียม แมงกานิส สังกะสี แม็กนีเซียม และ วิตามินอื่นๆอีก เช่น B1 B2 B6 Niacine มากอย่างไม่น่าเชื่อ จึงได้ชื่อว่า "super-fruits" เช่นเดียวกับ ผลทับทิม และแครนเบอรี่


แต่ ผลไม้นี้้ ขณะนี้ยังไม่มีขายสดๆตามซุปเปอร์มาร์เกต แต่ถ้ามองจากในรูปนี้ ผล Baobab นี้ผลใหญ่และเปลือกแข็งมาก ภายในเป็นเมล็ดๆ มีเนื้อขาวหุ้มคล้ายน้อยหน่า และมีเนื้อสีขาวเป็นปุยอยู่ด้วย ดังนั้น จึงเหมาะที่จะเป็นส่วนผสมใน smoothies และอยู่ในcereal barsและเป็นจำพวกอาหารว่างสุขภาพได้เป็นอย่างดี

คนอัฟริกันเรียกส่วนที่เป็นปุยๆนี้ว่า ขนมปังลิง (monkey"s bread) ไปผสมนม หรือข้าวต้มเป็น อาหาร บางทีนำเอาทำเป็นขนม ส่วนที่เป็นเมล็ดก็เอามาตำให้ละเอียดใส่ในซุป หรือเอามาคั่วกินเล่น ลำต้นก็ลอกออกมา ถักเป็นเชือก หรือทำเป็นสีย้อมผ้า ตลอดจนเป็นยาพื้นบ้านได้



อย่างไรก็ตาม สารอาหารสำคัญตัวหนึงที่ มีน้อยไปคือ แคลเซียม ดังนั้น นักโภชนาการบางคนจึงลังเลที่จะเรียกผลไม้ชนิดนี้ว่า Super Food
แต่ผลดีที่จะได้หากผลไม้ชนิดนี้ สามารถ เป็นที่นิยมติดตลาดในยุโรปคือ ชาวอัฟริกันจำนวนมากที่ยากจน จะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพราะไม่ต้องลงทุนปลูกอะไรเลย เพียงแต่ไปเก็บผลไม้นี้ มาจากในป่ามาขายเท่านั้น

ตำนานต้นBaobab เนื่องจากต้นไม้ชนิดนี้ มีคู่กับ อัฟริกาทางใต้ ทางภาคกลาง ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ทางตะวันตกตลอดจน savannah เป็นต้นไม้ประจำชาติของ Madagascar และมีอยู่ในออสเตรเลียตะวันตก
และ ความที่ต้นไม้ชนิดนี้ มีขนาดลำต้นที่ใหญ่มาก และกลวงซึ่งเป็นที่สำหรับกักเก็บน้ำเป็นอย่างดี เจ้าหน้าที่ชาวแซมเบีย เคยเข้าไปใช้ทำเป็น Office ในสมัยหนึงด้วย และประเทศออสเตรเลียก็สามารถนำนักโทษชาว Aborigine เข้าไปขังได้ เมื่่อปี 1890 แสดงว่า ลำต้นของต้นไม้นีี้ ใหญ่มากๆจริงๆ (รูปล่างซ้าย)


ภาพจาก http://www.barbados.org/

จึงมีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับต้นไม้ชนิดนี้มาก บางคนบอกว่า ต้น Baobab บางต้น เก่าแก่ขนาดอยู่มาตั้งแต่สมัย Great Flood- 4,000 ปีมาแล้ว ซึ่งนักวิทยาศาสตร์แย้งว่า ไม่เก่าขนาดนั้น น่าจะมีอายุแค่ 1,000 ปี เหมือนต้นโอ๊คบางต้นในสมัย Great Windsor Park ที่เริ่มมาตั้งแต่ ศตวรรษที่ 11 เท่านั้น (ในรูปขวามือข้างบน)
แต่ข้อมูลใน FAO บอกว่า ต้นที่เก่าแก่ที่สุด อาจมีอายุถึง 3,000 ปี

ประโยชน์ที่ได้จากต้นไม้นี้ ตั้งแต่โบราณคือ....1.ใช้เป็นอาหารได้ทั้งผล ทั้งใบมีวิตามิน Cมาก เมล็ด และดอก มีโปรตีนมาก และยังคั้นเอาน้ำมันออกมาจากเมล็ดเพื่อเป็นอาหารได้อีก แต่ชาวประมงแซมเบียกลับไม่นิยมกินผลของมันเพราะเชื่อว่า จะยิ่งเป็นการล่อจระเข้เข้ามา
2. ใช้เป็นยา เช่น เปลือกต้นไม้นำมาเคี่ยวทำยาแก้ไข้มาเลเรีย เนื้อผลไม้ผสมกับน้ำผึ้งแก้ไอ ใบเอามาทำยาแก้ท้องเสีย แก้อักเสบ แก้โรคไต รักษานิ่ว บรรเทาอาการหอบหืดเป็นต้น หมอตำแยมักเอาเปลือกของต้นไม้มาเคี่ยวผสมน้ำให้เด็กแรกเกิดอาบ จะได้แข็งแรงมีพลัง

สรุปว่า คนสามารถนำเกือบทุกส่วนของต้นไม้ชนิดนี้มาทำประโยชน์ได้ กว่า 30 ประการ เป็นต้นไม้ที่มีประโยชน์มากที่สุดในอัฟริกาใต้ทีเดียว

Baobab สายพันธุ์ Adansonia digitata ในแอฟริกาจะทิ้งใบ ประมาณ 9 เดือน ใน 1 ปี ในช่วงฤดูฝนมันจะดูดซับน้ำได้สูงถึง 120,000 ลิตร มาเก็บไว้ในลำต้น สู้กับความแห้งแล้งเพื่อมันจะสามารถอยู่รอดได้คงทน และมีอายุอยู่ได้นานกว่าต้นไม้อื่นๆ เป็นทีอยู่อาศัยของค้างคาว งู แม้แต่มนุษย์

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ เราก็รู้ความลับของต้นไม้ประหลาดและมหัศจรรย์นี้แล้ว ....
ใน ลำต้นอันใหญ่โตและกลวง ของมัน คือ ถังเก็บน้ำดีๆนั่นเอง แต่ละต้น ทำหน้าที่เป็น water tank ที่่เก็บน้ำได้ไม่ต่ำกว่า 300 litres ดังนั้น แม้ฝนไม่ตกนานๆ ก็ไม่กลัว จึงสามารถมีอายุยืนเกินหน้าต้นไม้ชนิดอื่นๆนั่นเอง
Pai_Anonworld
Pai_Anonworld

จำนวนข้อความ : 1316
Join date : 29/11/2010
Age : 41

http://www.anonworld.com

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน

- Similar topics

 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ