เห็ดมัสซึตาเกะ
2 posters
หน้า 1 จาก 1
เห็ดมัสซึตาเกะ
สวัสดีครับ ท่านอาจารย์ ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล และคุณไผ่
ผมได้ไปคุยกับคนญี่ปุ่นมาเรื่องการเพาะเห็ด คนญี่ปุ่นเขาบอกว่าชอบกินเห็ดมัสซึตาเกะ อร่อยมากๆ และก็แพงมากด้วยครับ กระผมจึงอยากสอบถามอาจารย์ว่าเห็ดมัสซึตาเกะนั้น หน้าตาเป็นเช่นไร แล้วเพาะในเมืองไทยเราได้หรือไม่ มันชอบสภาพแวดล้อมเช่นไรครับ
ผมได้ไปคุยกับคนญี่ปุ่นมาเรื่องการเพาะเห็ด คนญี่ปุ่นเขาบอกว่าชอบกินเห็ดมัสซึตาเกะ อร่อยมากๆ และก็แพงมากด้วยครับ กระผมจึงอยากสอบถามอาจารย์ว่าเห็ดมัสซึตาเกะนั้น หน้าตาเป็นเช่นไร แล้วเพาะในเมืองไทยเราได้หรือไม่ มันชอบสภาพแวดล้อมเช่นไรครับ
Phakin- จำนวนข้อความ : 317
Join date : 26/08/2011
Age : 58
เห็ดมัสซึตาเกะ เพาะได้หรือไหม เมืองไทยมีไหม
ต้องขอโทษด้วยที่ตอบช้า เพราะคำถามบางอย่าง มันต้องค้นรูปและหลักฐานที่มั่นใจจริงๆเอามาตอบเพื่อเป็นการประเทืองความรู้ และอีกอย่างหนึ่งช่วงน้ำท่วมนี้ มันแทบไม่มีแก่จิตแก่ใจทำอะไรเลย(เป็นไปสักพักเดียว) ตอนนี้พลังสู้เกิดขึ้นแล้ว เอาดูเอาเลยคำตอบและคำอธิบายดังต่อไปนี้
จริงๆแล้ว เห็ดมัสซึตาเกะ เป็นเห็ดที่เส้นใยของมันอาศัยอยู่กับรากสนหรือรากต้นโอ๊ค ที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,500 ม. ขึ้นไป เป็นพวกที่เรียกว่า เอ็คโตไมโคไรซา เป็นเห็ดที่คนญี่ปุ่นและเกาหลีใต้นิยมทานกันมาก แต่เนื่องจาก มันเป็นเห็ดที่หายาก มีกลิ่นหอม ทำให้มันมีราคาแพงมาก ดอกหนึ่งก็ราคาหลายร้อยบาท ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ใครก็ตามที่ไปเจอหรือไปพบเห็ดนี้เข้า เขาถือเป็นโชคเป็นลาภของเขา บางแห่งที่เป็นป่า ที่มักมีเห็ดมัสซึตาเกะเกิดขึ้นก็จะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่ผู้คนจะไปล่าหรือไปหาเห็ดชนิดนี้ เมื่อมีใครเจอดอกแม้กระทั่งดอกเดียว ก็จะถือว่าผู้นั้น เป็นฮีโรและมีโชค ดร.อานนท์เล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้งที่ได้รับเชิญให้ไปเป็นผู้เชี่ยวชาญเห็ดที่ประเทศภูฎานในช่วงปี 2524-2528 นั้น ที่สวนแอปเปิลของครอบครัวคนจีนที่นั่นที่ชื่อ ครอบครัวฮิง(Hing family) ซึ่งขณะนั้นผมก็มีอายุอยู่ระหว่าง 3 เดือนถึง 3 ขวบ ในวันหยุดก็มักจะไปสวนของครอบครัวฮิงที่โดเชนชิริง และก็ปีนไปตามไหล่เขาที่มีต้นโอ๊คสลับกันไปกับต้นสน ที่ความสูงระดับ 1,520 ม. ก็มักจะพบเห็ดตับเต่าทอง(Boletus edulis) และเห็ดมัสซึตาเกะ(Tricholoma matsutake) แต่เห็ดทั้งสองชนิดนี้ คนภูฎานไม่นิยมทานกัน จนกระทั่งท่านประธานของบริษัทอากิยามา(Akiyama Mushroom Research Institute) ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำเชื้อและเพาะเห็ดหอมของญี่ปุ่น ได้ไปเยี่ยมโครงการเห็ดแห่งชาติของประเทศภูฎาน ที่ ดร.อานนท์ เป็นผู้เชี่ยวชาญอยู่ พอเอาเห็ดทั้งสองชนิดให้ปราธานบริษัทอากิยามาดู ปรากฎว่า พอเห็นเห็ดมัสซึตาเกะดอกขนาดใหญ่ ถึงกับอุทานว่า นี่คือ ทองๆๆๆๆๆๆๆ ทั้งๆที่คนภูฎานไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย ส่วนใหญ่คิดว่า เห็ดนี้ เป็นเห็ดพิษเสียอีกด้วยซ้ำ และจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ท่านประธานได้กลับไปญี่ปุ่นพร้อมทั้งให้สัมภาษณ์เกี่ยวการค้นพบเห็ดมัสซึตาเกะที่มีดาษดื่นอยู่ที่ประเทศภูฎาน ทำให้คนญี่ปุ่นแตกตื่นและตื่นเต้นอยากเห็นเห็ดมัสซึตาเกะ ด้วยการบินไปดูสถานที่เกิดของเห็ดชนิดนี้ เพราะมีหลายคนหลงไหลในรสชาติของมัน ถึงขนาดว่า ก่อนตาย ขอให้ได้เห็นเห็ดมัสซึตาเกะที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ อย่างน้อยก็สักครั้งก็ยังดี ก็เพราะเหตุนี้เอง ที่นักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวภูฎาน ที่ประเทศนี้เขาจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวให้ไปเที่ยวได้ปีละไม่เกิน 5,000 คนนั้น จะเป็นนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น ที่บินไปดูเห็ดนี้มากกว่าครึ่ง โดยต้องจ่ายเงินค่าเข้าประเทศและพักที่ประเทศภูฎานวันละ 200 ดอลลาร์ (เหตุที่ภูฎานกำหนดจำนวนคนเข้าประเทศและราคาค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง เพราะเขาไม่ต้องการนักท่องเที่ยวที่มีรายได้น้อย ที่มักจะสร้างปัญหาที่จะไปเสพติดยา เฉกเช่นปัญหาที่เกิดขึ้นที่เนปาล เพราะที่ภูฎาน ต้นหญ้าที่เกิดข้างถนน ก็คือ กัญชานั่นเอง ที่นั่นเขาเอากัญชาเลี้ยงหมู เพราะมันกินแล้วมันจะหลับ(แต่ไม่ยักจะเห็นมันหัวเราะ)) เห็ดมัสซึตาเกะ เป็นเห็ดตระกูลเดียวกับเห็ดตับเต่าขาวหรือเห็ดตีนแรดบ้านเรานั่นเอง เพียงแต่มันไม่สามารถนำเอามาเพาะได้เช่นเดียวกับเห็ดตีนแรด จะต้องนำเอาเส้นใยหรือดอกเห้ดที่แก่ ที่สร้างสปอร์แล้ว เอาไปใส่รอบๆต้นโอ๊คและต้นสนในระดับความสูงมากกว่า 1,500 ม.ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียสในฤดูหนาว และอบอุ่นในฤดูร้อน โดยมันจะแพร่กระจายอยู่บริเวณรากต้นไม้จนมีปริมาณมาก ที่อาจจะต้องใช้เวลาหลายปี แต่พอมันเริ่มมีดอกแล้ว มันก็จะเกิดดอกเห็ดขึ้นทุกๆปีตลอดไปจนป่าหมดหรือทุกมนุษย์อันเป็นสัตว์ประเสริฐเข้าไปทำลาย ปัจจุบัน ประเทศจีน ถือว่า เป็นประเทศที่ประสพผลสำเร็จในการเพาะเห็ดมัสซึตาเกะ ด้วยการรณรงค์ให้ประชาชนที่อยู่ใกล้ป่าในมณฑลยูนาน ทำการรักษาป่าและเอาดอกเห็ดมัสซึตาเกะไปโรยหรือหว่านบริเวณรากต้นไม้สน ไม้โอ๊คและไม้ใบกว้างอีกหลายชนิด ในช่วงปี 2540 ประเทศจีนสามารถเก็บผลผลิตเห็ดมัสซึตาเกะได้มากกว่า 100 ตัน แต่ปัจจุบัน สามารถผลิตเห็ดมัสซึตาเก๊ะได้ปีละหลายพันตัน ทำให้ปัจจุบัน ราคาเห็ดมัสซึตาเกะจึงไม่แพงดั่งในอดีต เมื่อปีที่แล้ว ดร.อานนท์ก็ได้รับเชิญจากบริษัทที่ชื่อ Sunerfoods คุนหมิง ที่ทำการผลิตเห็ดมัสซึตาเกะแช่แข็งส่งออกปีละมากกว่า 300 ตัน และบริษัท Chenyu Trade ที่ทำการแปรรูปเห็ดมัสซึตาเกะแบบดองเค็มปีละมากกว่า 500 ตัน
หญิงแกร่งเจ้าของบริษัทเห็ดมัสซึตาเกะแช่แข็งขนาดใหญ่ที่ทันสมัยที่สุด เนื่องจากเจ้าของเป็นคนจีนไปเรียนหนังสือที่ญี่ปุ่นแล้วแต่งงานกับคนจีนที่ญี่ปุ่น จนได้สัญชาติญี่ปุ่น แล้วมาตั้งโรงงานแปรรูปเห็ดมัสซึตาเกะส่งญี่ปุ่น
หน้าโรงงานขนาดใหญ่ที่ชานกรุงนครคุนหมิง
นี่คือขบวนการทำความสะอาดดอกเห็ดมัสซึตาเกะ
การทำเห็ดมัสซึตาเกะแช่แข็งแบบไอคิวเอฟ(IQF)
นี่คืออีกโรงงานหนึ่งที่อยู่เมืองหนานหัวใกล้เมืองท่าลี่ ที่ทำการแปรรูปเห็ดมัสซึตาเกะและเห็ดตับเต่าทองปีละมากกว่า 500 ตัน โดยรับซื้อและแปรรูปจากเห็ดป่าจากชาวบ้านโดยตรง
เห็ดสดจำนวนวันละนับร้อยตัน จากชาวบ้านที่มีอาชีพเก็บเห็ดธรรมชาตินับแสนนับล้านคน นับว่าเป็นอาชีพที่ยั่งยืน ที่ชาวบ้านรวมใจกันรักษาป่า เพื่อให้มีเห็ดป่าที่มีราคาเก็บเอามาเป็นรายได้ที่ยั่งยืนในช่วงที่เห็ดป่าออกระหว่างเดือนมิถุนายน ถึงพฤศจิกายน ความร่วมมือเช่นนี้ น่าจะนำมาสร้างจิตสำนึกให้แก่คนไทยที่อยู่ใกล้ป่า เช่นแถววังน้ำเขียว ภูพาน ดอยอินทนนท์ เป็นต้น
สิ่งที่ขาดไม่ได้และถือเป็นธรรมเนียมของคนจีนก็ว่าได้ เมื่อมีแขกไปเยี่ยมเยียน ก็จะมีการเลี้ยงอาหารกันจนอิ่มแ้ป้ไปเลย คราวนี้ต้องยอมรับว่า ในเวลา 4 วันที่ไปดูเกี่ยวกับเห็ดนั้น ทานเห็ดสารพัดเข้าไปทั้ง 4 วัน นับว่า ตั้งแต่อยู่ในวงการเห็ดมาตลอดชีวิต คราวนี้แหละที่ร่างกายรับเอาเห้ดเข้าไปในท้องมากที่สุด
สรุปแล้ว ทานไปมากน้อยเพียงใด แม้ว่าเห็ดมัสซึตาเกะจะแพงแค่ไหน แต่ก็มิได้วิเศษวิโสอะไรไปจากเห็ดอื่นเท่าใดนัก มันเป็นแค่กระแสและความงมงายของคนมากกว่า เห็ดตับเต่าขาวหรือเห็ดตีนแรดที่เราเพาะได้เป็นอย่างดี ก็มีรสชาติไม่ต่างกันเลย เราจงมาร่วมกันรณรงค์หรือช่วยกันผลักดันเห็ดที่เราเพาะได้น่าจะดีกว่า ตอนนี้ ดร.อานนท์ ได้ใช้เวลาช่วงน้ำท่วม เขียนหนังสือเห้ดพร้อมภาพประวัติศาสตร์ที่ท่านได้ถ่ายสะสมมากกว่า 30 ปี โดยเขียนเกี่ยวกับเห้ดหลายเรื่อง จะทยอยแจ้งให้ทราบ ใครสนใจเรื่องใด สามารถสั่งซื้อได้ในโอกาสต่อไป
จริงๆแล้ว เห็ดมัสซึตาเกะ เป็นเห็ดที่เส้นใยของมันอาศัยอยู่กับรากสนหรือรากต้นโอ๊ค ที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,500 ม. ขึ้นไป เป็นพวกที่เรียกว่า เอ็คโตไมโคไรซา เป็นเห็ดที่คนญี่ปุ่นและเกาหลีใต้นิยมทานกันมาก แต่เนื่องจาก มันเป็นเห็ดที่หายาก มีกลิ่นหอม ทำให้มันมีราคาแพงมาก ดอกหนึ่งก็ราคาหลายร้อยบาท ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ใครก็ตามที่ไปเจอหรือไปพบเห็ดนี้เข้า เขาถือเป็นโชคเป็นลาภของเขา บางแห่งที่เป็นป่า ที่มักมีเห็ดมัสซึตาเกะเกิดขึ้นก็จะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่ผู้คนจะไปล่าหรือไปหาเห็ดชนิดนี้ เมื่อมีใครเจอดอกแม้กระทั่งดอกเดียว ก็จะถือว่าผู้นั้น เป็นฮีโรและมีโชค ดร.อานนท์เล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้งที่ได้รับเชิญให้ไปเป็นผู้เชี่ยวชาญเห็ดที่ประเทศภูฎานในช่วงปี 2524-2528 นั้น ที่สวนแอปเปิลของครอบครัวคนจีนที่นั่นที่ชื่อ ครอบครัวฮิง(Hing family) ซึ่งขณะนั้นผมก็มีอายุอยู่ระหว่าง 3 เดือนถึง 3 ขวบ ในวันหยุดก็มักจะไปสวนของครอบครัวฮิงที่โดเชนชิริง และก็ปีนไปตามไหล่เขาที่มีต้นโอ๊คสลับกันไปกับต้นสน ที่ความสูงระดับ 1,520 ม. ก็มักจะพบเห็ดตับเต่าทอง(Boletus edulis) และเห็ดมัสซึตาเกะ(Tricholoma matsutake) แต่เห็ดทั้งสองชนิดนี้ คนภูฎานไม่นิยมทานกัน จนกระทั่งท่านประธานของบริษัทอากิยามา(Akiyama Mushroom Research Institute) ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำเชื้อและเพาะเห็ดหอมของญี่ปุ่น ได้ไปเยี่ยมโครงการเห็ดแห่งชาติของประเทศภูฎาน ที่ ดร.อานนท์ เป็นผู้เชี่ยวชาญอยู่ พอเอาเห็ดทั้งสองชนิดให้ปราธานบริษัทอากิยามาดู ปรากฎว่า พอเห็นเห็ดมัสซึตาเกะดอกขนาดใหญ่ ถึงกับอุทานว่า นี่คือ ทองๆๆๆๆๆๆๆ ทั้งๆที่คนภูฎานไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย ส่วนใหญ่คิดว่า เห็ดนี้ เป็นเห็ดพิษเสียอีกด้วยซ้ำ และจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ท่านประธานได้กลับไปญี่ปุ่นพร้อมทั้งให้สัมภาษณ์เกี่ยวการค้นพบเห็ดมัสซึตาเกะที่มีดาษดื่นอยู่ที่ประเทศภูฎาน ทำให้คนญี่ปุ่นแตกตื่นและตื่นเต้นอยากเห็นเห็ดมัสซึตาเกะ ด้วยการบินไปดูสถานที่เกิดของเห็ดชนิดนี้ เพราะมีหลายคนหลงไหลในรสชาติของมัน ถึงขนาดว่า ก่อนตาย ขอให้ได้เห็นเห็ดมัสซึตาเกะที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ อย่างน้อยก็สักครั้งก็ยังดี ก็เพราะเหตุนี้เอง ที่นักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวภูฎาน ที่ประเทศนี้เขาจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวให้ไปเที่ยวได้ปีละไม่เกิน 5,000 คนนั้น จะเป็นนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น ที่บินไปดูเห็ดนี้มากกว่าครึ่ง โดยต้องจ่ายเงินค่าเข้าประเทศและพักที่ประเทศภูฎานวันละ 200 ดอลลาร์ (เหตุที่ภูฎานกำหนดจำนวนคนเข้าประเทศและราคาค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง เพราะเขาไม่ต้องการนักท่องเที่ยวที่มีรายได้น้อย ที่มักจะสร้างปัญหาที่จะไปเสพติดยา เฉกเช่นปัญหาที่เกิดขึ้นที่เนปาล เพราะที่ภูฎาน ต้นหญ้าที่เกิดข้างถนน ก็คือ กัญชานั่นเอง ที่นั่นเขาเอากัญชาเลี้ยงหมู เพราะมันกินแล้วมันจะหลับ(แต่ไม่ยักจะเห็นมันหัวเราะ)) เห็ดมัสซึตาเกะ เป็นเห็ดตระกูลเดียวกับเห็ดตับเต่าขาวหรือเห็ดตีนแรดบ้านเรานั่นเอง เพียงแต่มันไม่สามารถนำเอามาเพาะได้เช่นเดียวกับเห็ดตีนแรด จะต้องนำเอาเส้นใยหรือดอกเห้ดที่แก่ ที่สร้างสปอร์แล้ว เอาไปใส่รอบๆต้นโอ๊คและต้นสนในระดับความสูงมากกว่า 1,500 ม.ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียสในฤดูหนาว และอบอุ่นในฤดูร้อน โดยมันจะแพร่กระจายอยู่บริเวณรากต้นไม้จนมีปริมาณมาก ที่อาจจะต้องใช้เวลาหลายปี แต่พอมันเริ่มมีดอกแล้ว มันก็จะเกิดดอกเห็ดขึ้นทุกๆปีตลอดไปจนป่าหมดหรือทุกมนุษย์อันเป็นสัตว์ประเสริฐเข้าไปทำลาย ปัจจุบัน ประเทศจีน ถือว่า เป็นประเทศที่ประสพผลสำเร็จในการเพาะเห็ดมัสซึตาเกะ ด้วยการรณรงค์ให้ประชาชนที่อยู่ใกล้ป่าในมณฑลยูนาน ทำการรักษาป่าและเอาดอกเห็ดมัสซึตาเกะไปโรยหรือหว่านบริเวณรากต้นไม้สน ไม้โอ๊คและไม้ใบกว้างอีกหลายชนิด ในช่วงปี 2540 ประเทศจีนสามารถเก็บผลผลิตเห็ดมัสซึตาเกะได้มากกว่า 100 ตัน แต่ปัจจุบัน สามารถผลิตเห็ดมัสซึตาเก๊ะได้ปีละหลายพันตัน ทำให้ปัจจุบัน ราคาเห็ดมัสซึตาเกะจึงไม่แพงดั่งในอดีต เมื่อปีที่แล้ว ดร.อานนท์ก็ได้รับเชิญจากบริษัทที่ชื่อ Sunerfoods คุนหมิง ที่ทำการผลิตเห็ดมัสซึตาเกะแช่แข็งส่งออกปีละมากกว่า 300 ตัน และบริษัท Chenyu Trade ที่ทำการแปรรูปเห็ดมัสซึตาเกะแบบดองเค็มปีละมากกว่า 500 ตัน
หญิงแกร่งเจ้าของบริษัทเห็ดมัสซึตาเกะแช่แข็งขนาดใหญ่ที่ทันสมัยที่สุด เนื่องจากเจ้าของเป็นคนจีนไปเรียนหนังสือที่ญี่ปุ่นแล้วแต่งงานกับคนจีนที่ญี่ปุ่น จนได้สัญชาติญี่ปุ่น แล้วมาตั้งโรงงานแปรรูปเห็ดมัสซึตาเกะส่งญี่ปุ่น
หน้าโรงงานขนาดใหญ่ที่ชานกรุงนครคุนหมิง
นี่คือขบวนการทำความสะอาดดอกเห็ดมัสซึตาเกะ
การทำเห็ดมัสซึตาเกะแช่แข็งแบบไอคิวเอฟ(IQF)
นี่คืออีกโรงงานหนึ่งที่อยู่เมืองหนานหัวใกล้เมืองท่าลี่ ที่ทำการแปรรูปเห็ดมัสซึตาเกะและเห็ดตับเต่าทองปีละมากกว่า 500 ตัน โดยรับซื้อและแปรรูปจากเห็ดป่าจากชาวบ้านโดยตรง
เห็ดสดจำนวนวันละนับร้อยตัน จากชาวบ้านที่มีอาชีพเก็บเห็ดธรรมชาตินับแสนนับล้านคน นับว่าเป็นอาชีพที่ยั่งยืน ที่ชาวบ้านรวมใจกันรักษาป่า เพื่อให้มีเห็ดป่าที่มีราคาเก็บเอามาเป็นรายได้ที่ยั่งยืนในช่วงที่เห็ดป่าออกระหว่างเดือนมิถุนายน ถึงพฤศจิกายน ความร่วมมือเช่นนี้ น่าจะนำมาสร้างจิตสำนึกให้แก่คนไทยที่อยู่ใกล้ป่า เช่นแถววังน้ำเขียว ภูพาน ดอยอินทนนท์ เป็นต้น
สิ่งที่ขาดไม่ได้และถือเป็นธรรมเนียมของคนจีนก็ว่าได้ เมื่อมีแขกไปเยี่ยมเยียน ก็จะมีการเลี้ยงอาหารกันจนอิ่มแ้ป้ไปเลย คราวนี้ต้องยอมรับว่า ในเวลา 4 วันที่ไปดูเกี่ยวกับเห็ดนั้น ทานเห็ดสารพัดเข้าไปทั้ง 4 วัน นับว่า ตั้งแต่อยู่ในวงการเห็ดมาตลอดชีวิต คราวนี้แหละที่ร่างกายรับเอาเห้ดเข้าไปในท้องมากที่สุด
สรุปแล้ว ทานไปมากน้อยเพียงใด แม้ว่าเห็ดมัสซึตาเกะจะแพงแค่ไหน แต่ก็มิได้วิเศษวิโสอะไรไปจากเห็ดอื่นเท่าใดนัก มันเป็นแค่กระแสและความงมงายของคนมากกว่า เห็ดตับเต่าขาวหรือเห็ดตีนแรดที่เราเพาะได้เป็นอย่างดี ก็มีรสชาติไม่ต่างกันเลย เราจงมาร่วมกันรณรงค์หรือช่วยกันผลักดันเห็ดที่เราเพาะได้น่าจะดีกว่า ตอนนี้ ดร.อานนท์ ได้ใช้เวลาช่วงน้ำท่วม เขียนหนังสือเห้ดพร้อมภาพประวัติศาสตร์ที่ท่านได้ถ่ายสะสมมากกว่า 30 ปี โดยเขียนเกี่ยวกับเห้ดหลายเรื่อง จะทยอยแจ้งให้ทราบ ใครสนใจเรื่องใด สามารถสั่งซื้อได้ในโอกาสต่อไป
จุใจสมกับที่ได้รอมานาน
ขอบคุณครับ คุณไผ่ และอาจารย์ ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล
ได้ความรู้อีกเยอะเลย ขอบคุณมากๆ ครับ สมกับที่ได้รอคอยมานาน แต่คงจะนานไม่เท่ารอน้ำลด ต่อไปจะลองเพาะเห็ดตับเต่าแบบที่อาจารย์เพาะได้ในบ้านเราครับ มันลอยน้ำได้ด้วยไม่รู้ว่าตอนนี้มันลอยไปถึงไหนแล้ว
อาจารย์กินเห็ดแกล้มกับเหล้าจีนด้วย เหมือนเชี่ยงชุนบ้านเราหรือเปล่าครับ
ได้ความรู้อีกเยอะเลย ขอบคุณมากๆ ครับ สมกับที่ได้รอคอยมานาน แต่คงจะนานไม่เท่ารอน้ำลด ต่อไปจะลองเพาะเห็ดตับเต่าแบบที่อาจารย์เพาะได้ในบ้านเราครับ มันลอยน้ำได้ด้วยไม่รู้ว่าตอนนี้มันลอยไปถึงไหนแล้ว
อาจารย์กินเห็ดแกล้มกับเหล้าจีนด้วย เหมือนเชี่ยงชุนบ้านเราหรือเปล่าครับ
Phakin- จำนวนข้อความ : 317
Join date : 26/08/2011
Age : 58
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|